อันที่จริงแล้ว
ในพระไตรปิฎกก็เขียนไว้ชัดเจนว่า พระพุทธเจ้าของเราๆ ท่านๆ ทั้งหลายนี้
ทรงบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อวันเพ็ญวิสาขมาส ด้วยวิชชาสาม
ก่อนจะบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
พจนานุกรมวิกิพิเดีย
บรรยายไว้ดังนี้
จากนั้น พญามารได้ยกพลเสนามารมาผจญ พระองค์ต้องต่อสู้ด้วยพระบารมี
10 ทัศ กล่าวในแง่ธรรมาธิษฐาน คือ
ทรงต่อสู้กับกิเลสภายในใจจนทรงเอาชนะได้ด้วยพระบารมี คือ
ความลำบากในการบำเพ็ญความดีทั้งปวง อันทรงได้สั่งสมมาตลอดแต่ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์
ทรงต่อสู้จนพญามารพ่ายแพ้ไปตอนพระอาทิตย์จะตกแล้ว
พระองค์จึงทรงเริ่มเจริญสมถภาวนา ทำจิตใจให้เป็นสมาธิ
จนบรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ตามลำดับ
แล้วทรงทำให้ฌานอันเป็นองค์แห่งปัญญา 3 ประการ เกิดขึ้นในยามทั้ง 3 คือ
1. ปฐมยาม ทรงบรรลุ “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ” คือ
ทรงสามารถระลึกชาติได้
2. มัชฌิมยาม ทรงบรรลุ “จุตูปปาตญาณ” คือ
รู้การตายการเกิดของสัตว์ทั้งปวง หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าได้ ทิพยจักษุญาณ คือ
ตาทิพย์
3. ปัจฉิมยาม พระองค์ได้ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท คือ
ธรรมที่อาศัยซึ่งกันและกัน เกิดขึ้นเป็นเหตุเป็นผลของกันและกันต่อเนื่องเสมือนกับลูกโซ่
จนได้รู้แจ้งซึ่งอริยสัจธรรม 4 ประการ คือ
- ทุกข์ ความทุกข์
สภาวะที่ทนได้ยาก ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ (ปัญหา)
- สมุทัย
สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (สาเหตุของปัญหา)
- นิโรธ
ความดับไปซึ่งต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (จุดมุ่งหมายในการแก้ปัญหา)
- มรรค
ทนทางที่จะดับทุกข์ได้ (วิธีการแก้ปัญหา)
แล้วพระองค์จึงทรงบรรลุซึ่ง “อาสวักขยญาณ” คือ
ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวกิเลสทั้งปวง
เมื่อนั้นจิตของพระองค์ก็หลุดพ้นจากกิเลสและอาสวะทั้งปวง
ไม่มีความยึดถือมั่นด้วยตัณหาอุปาทาน
อันเป็นการได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์ ในยามที่ 3 แห่งคืนวิสาขมาส
ก่อนพุทธศักราช 45 ปี
เรื่องนี้เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป
แต่เป็นที่น่าแปลกใจอีกเช่นกัน
ดูเหมือนว่า ความรู้ที่ว่าพระพุทธองค์ทรงบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยวิชชา
3 นั้น ดูเหมือนจะถูกลืมเลือนไปในยุคนี้
ยุคนี้
ไม่ใช่เป็นยุคของการแดกด่วน (fast food) เรื่องอาหารแต่เพียงอย่างเดียว
การบรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ยังอุตส่าห์มีการแดกด่วนกับเขาด้วย
เมื่อพระพม่ามาหลอกลวงคนไทยว่า
เดินไปเดินมา พิจารณาอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อยให้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ตลอดเวลา ทำใจให้อยู่กับปัจจุบันตลอดเวลา
อย่าให้หลุดไปแม้เพียงเศษหนึ่งส่วนอสงไขยวินาทีก็ไม่ได้
เท่านั้นแหละ
อาการ “แดกด่วน” เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานก็เกิดกับพุทธศาสนิกชนชาวไทยกันอย่างล้นหลาม
ต่างคนต่างกระเหี้ยนกระหือรือ
กูจะต้องวิปัสสนากรรมฐานตามพระพม่าอย่างเดียวตลอดวันตลอดคืน กูจะบรรลุมรรคผลภายใน 7 ปี 7
เดือน 7 วันเป็นแน่
ผมเห็นนั่งกันมาเกือบจะร้อยปีแล้วมั้ง
เดินจงกรมระยะทางรวมกันน่าจะเลยขอบจักรวาลไปแล้ว
ก็ไม่เห็นมีพระพม่ากับสาวกใกล้ความเป็นพระอริยบุคคลแม้แต่ศีรษะเดียว
ได้ไปเพียงจิตสงบชั่วขณะ
ก็เกิดอาการปลื้มปิติน้ำหู น้ำตา น้ำมูกไหลหลั่งอย่างไม่ขาดสาย ต่างคนก็ต่างคิดว่า
ตนเองใกล้ความเป็นพระอรหันต์ไปเต็มทีแล้ว
ตายไปแล้ว
อย่างดีที่สุด ก็แค่สวรรค์ชั้น 1 อย่างร้ายๆ ก็ตีนเขาพระสุเมรุ หน้าแห้งหน้าเหี่ยวไปตามๆ กัน
เสียชาติเกิดอันลำบากลำบนไปชาติหนึ่ง........
ได้ไม่เท่าที่อุตส่าห์ลงมาเกิดเลย
ความที่หลงใหลคลั่งไคล้กับสติปัฏฐาน
4 ซึ่งประกอบด้วย กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตและจิต และธรรมในธรรม แต่ไม่เคย “รู้”
และ “เข้าใจ” อย่างถ่องแท้
พวกสาวกพระพม่าก็จึงงมงายอยู่แต่เรื่อง
“กายในกาย” อีก 3 ประการนั้น ไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะ ไม่รู้อธิบายอย่างไร
เลยพาลไม่กล่าวถึงไปเสียเลย
เฉพาะ
“กายในกาย” ก็อธิบายกันเละเทะแหลกเหลว หาสาระกันไม่ได้ มั่วกันไป
ดูแล้วน่าอเนจอนาถกับความโง่ของพวกนี้เหลือเกิน
แต่ทำยังไงได้
เกิดมาเป็นคนไทยที่ฉลาดกว่าคนอื่น
ก็ต้องมาช่วยอธิบายกันหน่อยว่า พวกพระพม่ากับสาวกมันมั่ว
ตายไปแล้ว
ไม่ได้ไปถึงไหนเลย วิชาธรรมกายตรวจสอบได้ และตรวจสอบมาแล้ว ถึงกล้ามาเขียนบอกกัน
เชื่อไม่เชื่อ......ก็ตามแต่ใจตัว......
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น