บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

กายในกาย-พลปัญโญธรรม

หลวงพ่อชุมพล พลปญฺโญ เขียนธรรมเทศนาเรื่อง “การพิจารณากายในกาย” ไว้พอจะย่นย่อได้ดังนี้

เนื้อหาของบทความโดยย่อ

เป็นธรรมดา ในสำนักนี้เป็นสำนักวิปัสสนา ฉะนั้นก็มีการมาปรารภธรรม ให้รู้แจ้ง เห็นแจ้ง รู้ยิ่ง เห็นยิ่ง ในวิปัสสนายิ่งๆ ขึ้นไป

คำว่าวิปัสสนา หมายความว่า รู้แจ้ง รู้ยิ่ง เห็นยิ่ง รู้ในสิ่งที่เราเกี่ยวข้องด้วย เข้าใจไปถึงธรรมชาติของมัน ว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างไร

อย่าให้ความโง่ ความหลง มาปกปิดเอาไว้ เข้าใจไปถึงความจริง มองให้ลึกอย่ามองแค่ผิวเผิน มองให้ลึกต้องมองด้วยสติและปัญญา มีบารมีเป็นเครื่องหนุน

ถ้าไม่เอาบารมีเป็นเครื่องหนุน ก็เอาอาสวะเป็นเครื่องหนุน ตรงกันข้าม บารมีเป็นเครื่องทำให้เต็ม เมื่อบารมีเต็มย่อมเห็นแจ้งในวิปัสสนา

อาสวะนี่มันแปลว่า ความหมักหมม นอนเนื่องอยู่ในสันดาน ความชั่วร้ายต่างๆ ที่เคยสั่งสมมาทุกภพทุกชาติ เมื่ออาสวะเป็นเครื่องหนุน ก็มองโลกด้วยโมหะ ด้วยอวิชชา เป็นที่ตั้งแห่งกิเลส ตัณหา อุปาทานทั้งปวง

เพราะฉะนั้น ที่เรามาปฏิบัติวิปัสสนานี่ ก็ต้องถือว่ามีบารมีหนุน คือทานบารมี บารมีคือทาน ศีลบารมี บารมีคือศีล เนกขัมมบารมี บารมีคือการออกบวช ปัญญาบารมี บารมีคือ ความเห็นแจ้ง รู้แจ้ง

วิริยะบารมี บารมีคือความเพียร ขันติบารมี บารมีคือความอดทน สัจจบารมี บารมีคือความจริง อธิษฐานบารมี บารมีคือความไม่หวั่นไหว ไม่เปลี่ยนแปลง เมตตาบารมี บารมีคือความมีจิตไม่ผูกโกรธ ปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ อุเบกขาบารมี บารมีคือวางเฉยต่อสังขารทั้งปวง

เมื่อบารมีทั้ง ๑๐ หนุนมา ก็ช่วยให้เราได้มาเจริญวิปัสสนา มาเจริญวิปัสสนา ก็เพื่อจะมองโลกด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง ก็ต้องมองโลกด้วยสติและปัญญา

เพราะฉะนั้นจึงควรที่มาเจริญสติปัฏฐาน การตั้งสติไว้ตามฐาน อันจะเป็นบ่อเกิดเพิ่มพูน ไพบูลย์แห่งสติและปัญญา อันจะเป็นกำลังที่จะฆ่ากิเลส ให้เกิดความรู้แจ้งในกองสังขารทั้งปวง

วิปัสสนาจึงมารู้เรื่องตัวเอง ฉะนั้นต้องถือว่า วิปัสสนานี่ทำง่ายมาก ที่ทำง่ายเพราะอะไร เพราะมารู้เรื่องตัวเอง คือมาดูบ้านเราว่ามีของอะไรบ้าง ไม่ต้องไปดูบ้านคนอื่น

เราจะไปดูบ้านคนอื่นนี่ต้องถือว่า เป็นงานยาก เพราะเราต้องไปงัดบ้านเขา ต้องไปเปิดประตูบ้านเขา เจ้าของเขาจะอนุญาตหรือเปล่าก็ไม่รู้ อันนี้วิปัสสนาคือดูบ้านตัวเอง ให้รู้แจ้งเห็นจริงในบ้านของเรา

คนเราก็มีกายและจิต พูดย่อๆ ก็คือมีกายและจิต ซึ่งก็คือขันธ์ ๕ กายและจิตที่เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน เป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ เป็นปัจจัยแห่งความโศกเศร้าพิรี้พิไรรำพัน ความคับแค้นใจ

ความทุกข์ทนหม่นไหม้ทั้งปวง เกิดจากความยึดมั่นอุปาทานในกายและจิต คือมีความยึดมั่นอุปาทานในขันธ์ ๕ ก็คือกายและจิตของเรานี่แหละ

ฉะนั้น ผู้จะบำเพ็ญวิปัสสนานี่ อันดับแรกให้เลิกสนใจเรื่องคนอื่น คนอื่นเขาจะเป็นยังไงก็ช่างเขาเถอะ กิเลสเขาจะมากจะน้อย เขาจะดี เขาจะชั่วนี่ก็ให้ปล่อยเขา ให้หันมาสนใจตัวเรา

เราจะต้องมาเจริญสติ มาเจริญปัญญา เพื่อถอนความยึดมั่นถอนอุปาทานที่กายและจิต เบื้องต้นก็คือกาย

พูดตามหลักปริยัติก็คือ สมรภูมิด่านแรกที่จะเป็นที่ตั้งแห่งสติและปัญญาที่จะสู้รบกับกิเลส ด่านแรกก็คือฐานกายในกาย

พึงมีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติพิจารณาเห็นกายในกาย อันเป็นภายในบ้าง ภายนอกบ้าง ทั้งภายในและภายนอกบ้าง  พึงเห็นกายในกาย เพื่อจะได้เห็นความเป็นธรรมดาของกาย คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง ความเสื่อมไปในกายบ้าง ความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในกายบ้าง

กายนี้เป็นที่ตั้งแห่งสติและปัญญาเบื้องต้น เป็นสมรภูมิเบื้องต้นเบื้องแรกที่เราจะรบกับกิเลส ฉะนั้น เมื่อเริ่มต้น ใน ๓ บรรพแรก ท่านจะให้ฝึกสติ อานาปานบรรพ การตั้งสติที่ลมหายใจเข้าออกก็ดี อิริยาบถบรรพ ตั้งสติที่อิริยาบถก็ดี

สติปัฏฐานก็คือ มาตั้งสติในฐาน อันจะเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาญาณ คือมาตั้งที่กาย กายในกาย การเห็นกายในกายก็คือ เรามาเจาะลึกหยั่งรู้ หยั่งดูด้วยสติ ก็จะเห็นความลึกลับซับซ้อนที่ถูกปิดไว้ด้วยโมหะอวิชชา ก็เรียก เห็นกายในกาย ซึ่งต้องเห็นด้วยสติ

ฐานกายในกายนี้เป็นด่านแรก เป็นสมรภูมิด่านแรก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำให้พระโยคาวจร ผู้ปรารถนาจะหลุดพ้นจากทุกข์ มาสู้กับกิเลสในฐานกายในกายนี้

มาเจริญสติ มาเจริญปัญญา จากการเพ่งพินิจ จากการเจริญสติตั้งมั่นไว้ในปัจจุบันอารมณ์ที่ฐานกายในกาย

ญาณปัญญาจะหยั่งลึกลงไปทุกที สิ่งที่เราเคยเห็นด้วยโมหะ อวิชชา เห็นด้วยความไม่รู้ เห็นด้วยความหลง มันจะโดนสติและปัญญาเปิดออก เห็นความจริงขึ้นเรื่อยๆ

อันนี้มายามันเป็นที่ตั้งแห่งราคะและโทสะ เป็นที่ตั้งแห่งความยินดียินร้าย แต่สติและปัญญาจะสามารถเพิกถอนมายาได้

ช่วยให้จิตของพระโยคาวจรผู้ปฏิบัติธรรม พ้นจากกิเลส อันเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ได้ นี่คือคุณประโยชน์ของการเจริญสติปัฏฐาน

พระชุมพล พลปญฺโญ ๒๓ มกราคม ๒๕๔๓

เนื้อหาคำเทศน์ของพระชุมพล พลปญฺโญนั้น  มั่ว สับสน เป็นไปไม่ได้ ข้อเขียนขัดกันเอง แย้งกันเอง  เป็นคำสอนที่ใช้ไม่ได้

พระชุมพลสอนว่าต้อง “สติพิจารณาเห็นกายในกาย อันเป็นภายในบ้าง ภายนอกบ้าง ทั้งภายในและภายนอกบ้าง  การเห็นกายในกายนั้น “เห็นด้วยสติ

สติจะไปเห็นกายในกายได้อย่างไร พระชุมพลไม่ได้เขียนไว้

สติจะเห็นกายในกายภายใน คือ ของตัวเอง  ภายนอกคือร่างกายคนอื่น พระชุมพลก็ไม่ได้เขียนไว้

ตกลงแล้ว “การเห็น” ของพระชุมพลต้องใช้สติเห็นนั้น พระชุมพลทำอย่างไร  การเห็นนั้นต้องใช้ “ตา” หรือ จักษุ” ไม่ใช่หรือ

เพิ่งรู้เหมือนกันว่า สติใช้เป็นเครื่องมือในการมองเห็นได้  แล้วสติมันเห็นอย่างไรก็ไม่บอกไว้เสียด้วย...






5 ความคิดเห็น:

  1. ตาเนื้อ ก็คือดวงตาของเรานี่แหละ...

    เคยได้ยินคำว่า "ตาทิพย์" มั้ยล่ะ... ?

    ความเป็นทิพย์ไม่ได้หมายถึงร่ายกาย หู ตา จมูก รวม ทุก ๆ อย่างที่เรามองเห็นนั่นแหละ

    อนัตตา คือ "ความไม่มีตัวตน" เมื่อไม่มีตัวตน ตาเนื้อจะมีได้อย่างไร ?

    ลองคิดว่า "ถ้าเราตายไปแล้ว" เรายังจะมีดวงตาให้มองมั้ย ?

    หรือว่ามันจะดับสูญไป ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง.....


    "สติ" ไม่ใช่แค่ใช้ในการมองเห็นได้.. สติทำอะไรได้มากกว่านั้น

    "สติ คือ เพื่อนที่ดีที่สุดของเรา"

    "จงเตือนตนด้วยตนเอง" ก็สตินี่แหละ ที่คอยตักเตือนเรา....


    สรุปแล้ว การอ่านไม่ได้ทำให้เราเข้าใจอะไรมากกว่าการได้ความรู้
    แต่การปฎิบัติ....จะทำให้เราเห็นจริง.....


    "กรรมฐาน บนทางธรรม"

    ตอบลบ
  2. ผมก็ไม่รู้ว่า คุณ DimmerP ท่านนี้ อ่านบล็อกที่ผมเขียนกี่บล็อก แต่แค่เขียนมาแค่นี้ ผมก็รู้ว่า คุณ DimmerP มีความรู้ในทางศาสนาแค่หางอึ่งเท่านั้น

    คุณ DimmerP ท่านนี้ สรุปว่า "สรุปแล้ว การอ่านไม่ได้ทำให้เราเข้าใจอะไรมากกว่าการได้ความรู้ แต่การปฎิบัติ....จะทำให้เราเห็นจริง....."

    ผมขอตอบว่า ผมไม่ได้แค่ปฏิบัติธรรมเท่านั้น ผมยังสอนให้คนอื่นปฏิบัติธรรมได้อีกด้วย

    นี่คือหลักฐานส่วนหนึ่ง

    ผมสอนวิชาธรรมกาย
    http://teachthammakai.blogspot.com/2011/06/blog-post.html
    โรงเรียนการศึกษาคนตาบอด[01]
    http://teachthammakai.blogspot.com/2011/06/blog-post_24.html
    โรงเรียนการศึกษาคนตาบอด[02]
    http://teachthammakai.blogspot.com/2011/12/02.html
    โรงเรียนบ้านนา (ประสิทธิ์วิทยาคาร)
    http://teachthammakai.blogspot.com/2011/06/blog-post_28.html
    กศน. อู่ทอง
    http://teachthammakai.blogspot.com/2011/07/blog-post.html
    โรงเรียนบ้านบุใหญ่
    http://teachthammakai.blogspot.com/2011/07/blog-post_14.html
    โรงเรียนโคกลำพานวิทยา
    http://teachthammakai.blogspot.com/2011/07/blog-post_27.html
    ประเทศเมียนม่าร์
    http://teachthammakai.blogspot.com/2011/07/blog-post_28.html
    โรงเรียนกิริวัฒนศักดิ์[01]
    http://teachthammakai.blogspot.com/2011/07/blog-post_29.html
    โรงเรียนกิริวัฒนศักดิ์[02]
    http://teachthammakai.blogspot.com/2011/08/02.html
    โรงเรียนบ้านงิ้ว
    http://teachthammakai.blogspot.com/2011/08/blog-post.html
    มหาวิทยาลัยนเรศวร
    http://teachthammakai.blogspot.com/2011/08/blog-post_29.html
    มหาวิทยาลัยนเรศวร[02]
    http://teachthammakai.blogspot.com/2012/02/02.html
    มหาวิทยาลัยนเรศวร[03]
    http://teachthammakai.blogspot.com/2012/02/03.html
    มหาวิทยาลัยนเรศวร[04]
    http://teachthammakai.blogspot.com/2012/02/04.html
    มหาวิทยาลัยนเรศวร[05]
    http://teachthammakai.blogspot.com/2012/02/05.html
    นักเรียนอนุบาลโรงเรียนวัดวังเป็ด
    http://teachthammakai.blogspot.com/2011/12/blog-post.html

    ตอบลบ
  3. กบเกิดในสระใต้ บัวบาน
    ฤาห่อนรู้รสมาลย์ หนึ่งน้อย
    ภุมราอยู่ไกลสถาน นับโยชน์ ก็ดี
    บินโบกมาค้อยค้อย เกลือกเค้า เสาวคนธ์๚

    คนตาบอด มันก็โอ่ได้เฉพาะในโลกคนตาบอด
    แต่แม้ตาไม่ได้ ก็มักโอหังอวดดีข่มทับคนตาดี
    ที่มาชี้ขุมทรัพย์ให้ตนว่าปัญญาน้อยกว่าตน
    แต่พอคนอื่นจี้จุดโง่ของตนด้วยความจริง
    ก็เอาสีข้างแถไปดื้อๆ ไม่ยอมความจริง
    แล้วก็ใช้ตรรกะเด็กๆ มาเล่นคำไปมา
    แต่ก็ทำได้แค่
    อวดโอหังชูหางอยู่ในกะลาของตนเท่านั้น

    แบบนี้กระมังที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่า
    ผู้ที่ "ฉิบหายเพราะความดี"

    ขอสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นกับผู้อ่านทุกท่าน
    และขอผู้มีมิจฉาทิฏฐิ
    และผู้ยังมีอัสสมิมานะมาก
    ได้พ้นจากบ่วงไฟร้อนจากความหลงผิดของเขาเองทั้งปวงนั้นด้วย
    เทอญฯ

    อนุโมทนากับผู้จัดทำพื้นที่

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ดร.นี่มันโง่เหมือนเดิม ใช่แต่ตาเห็นแต่ภาพ เลยไม่เห็นสัมมาสติ

      ลบ
    2. ควาย ป. 4 อย่างคุณมันจะรู้เรื่องอะไร

      ลบ