บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

เห็นกายในกายแบบเพ้อเจ้อ


สาวกของพระพม่านั้น จะหลงผิดไปตามพระพม่าว่า การปฏิบัติธรรมแบบยุบหนอพองหนอ หรือแบบนามรูปเท่านั้น ที่จะทำให้บรรลุพระอรหันต์อย่างรวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม

ไม่ต้องทำสมถกรรมฐานเลยก็ยังได้ 

คำสอนดังกล่าวทำให้คนไทย พวกชอบ “แดกด่วน” ติดใจ หลงผิด ทิ้งการปฏิบัติธรรมแบบไทยๆ เช่น สายพุทโธ สายนะมะพะทะ และสายวิชาธรรมกาย เป็นต้น ไปสมาทานการปฏิบัติธรรมแบบพม่ากันอย่างหน้าตาเฉย

พระพม่าจะเน้นเรื่องการเห็นกายในกายมากเป็นพิเศษ แต่ผมยังไม่เคยเห็นคำอธิบายที่เป็นรูปธรรมจากสาวกของพระพม่า รวมถึงตัวพระพม่าเองด้วย ทั้งๆ ที่ผมพยายามอ่านหนังสือของสาวกพระพม่ามาเป็น 10 ปีแล้ว

คำอธิบายของพระพม่ามีแต่มั่วไป มั่วมา ยกตนข่มท่านอย่างเดียว 

ปฏิบัติธรรมกันที 7 วัน 15 วัน ปฏิบัติธรรมกันมาเป็นสิบๆ ปี  ผมก็ยังไม่เห็นมีใครบรรลุมรรคผล ภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ตามที่โฆษณาไว้เลย

อย่างต้องฟ้องสำนักงานคณะกรรมการผู้คุ้มครองผู้บริโภคว่า โฆษณาเกินจริง

พระพม่ามีคำอธิบายเกี่ยวกับสติปัฏฐาน 4 ไว้เพียงแค่กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ส่วนเวทนา จิต ธรรมนั้น อธิบายมั่วๆ มั่วมา ไม่รู้เรื่อง ทั้งคนเขียนและคนอ่าน

เฉพาะกายานุปัสสนาสติปัฏฐานก็อธิบายอย่างมั่วๆ และไม่รู้เรื่องเช่นเดียวกัน 

ผมขอยกสติปัฏฐานสูตรสั้นๆ ดังนี้

๙. มหาสติปัฏฐานสูตร (22)

[273] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ 
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในกุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ ชื่อว่ากัมมาสทัมมะ ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า  พระผู้มีพระภาค  ได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ๔ ประการ เป็นไฉน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะมีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ ฯ

จบอุทเทสวารกถา 

[274] อานาปานบรรพ เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[275] อิริยาปถบรรพ เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[276] จบสัมปชัญญบรรพ เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[277] ปฏิกูลมนสิการบรรพ เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[278] ธาตุมนสิการบรรพ เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[279] นวสีวถิกาบรรพ 1 เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[280] นวสีวถิกาบรรพ 2 เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[281] นวสีวถิกาบรรพ 3 เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[282] นวสีวถิกาบรรพ 4 เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[283] นวสีวถิกาบรรพ 5 เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[284] นวสีวถิกาบรรพ 6 เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[285] นวสีวถิกาบรรพ 7 เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[286] นวสีวถิกาบรรพ 8 เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[287] นวสีวถิกาบรรพ 9 เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง  พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง  พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็นธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง

ย่อมอยู่อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ก็เพียงสักว่าความรู้เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้วและไม่ถือมั่นอะไรๆในโลกดูกรภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แลภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ฯ

จบนวสีวถิกาบรรพ
จบกายานุปัสสนา

ขอให้พิจารณาที่ผมทำตัวหน้าและขีดเส้นใต้ไว้ให้มากๆ หน่อย  ขอยกมาอีกทีดังนี้

1) ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
2) ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
3) ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง ข้อนี้แบ่งออกเป็น 2 ข้อย่อย คือ
3.1) ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายของคนอื่น
3.2) ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายภายนอกของคนอื่น

ในทางภาษาศาสตร์แล้ว  ควรแปลแบบนี้

1) ภิกษุย่อม ตามเห็น กายในกาย ณ ภายในบ้าง
2) ภิกษุย่อม ตามเห็น กายในกาย ณ ภายนอกบ้าง
3) ภิกษุย่อม ตามเห็น กายในกาย ณ ภายใน ณ ภายนอกบ้าง ข้อนี้แบ่งออกเป็น 2 ข้อย่อย คือ
3.1) ภิกษุย่อม ตามเห็น กายในกายของคนอื่น
3.2) ภิกษุย่อม ตามเห็น กายในกาย ณ ภายนอกของคนอื่น

ผมขอให้ผู้อ่านพิจารณาอย่างเป็นกลางว่า มีคำสอนของพระพม่ากับสาวกของพระพม่าอธิบายไว้อย่างชัดเจนบ้างไหม

ผมฟันธงไปเลยว่าไม่มี 

ไม่ต้องพระพม่าก็ได้ พระไทย นักปริยัติไทยก็ไม่มีใครอธิบายได้อย่างเป็นวิชาการ ให้หลักฐาน และพิสูจน์ได้

โดยเฉพาะพระพม่าแล้ว อะไรก็เห็นไม่ได้ เห็นอะไรก็ผิดหมด แล้วจะมาเห็นกายในกายได้อย่างไร..



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น