ด้วยความโง่อันหนักหนาสาหัสของสาวกของพระพม่า พวกนี้จึงหลงผิดไปตามพระพม่าว่า การปฏิบัติธรรมแบบยุบหนอพองหนอ หรือแบบนามรูปเท่านั้น ที่จะทำให้บรรลุพระอรหันต์อย่างรวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม
ไม่ต้องทำสมถกรรมฐานเลยก็ยังได้
คำสอนดังกล่าวทำให้คนไทย
พวกชอบ “แดกด่วน” ติดใจ หลงผิด ทิ้งการปฏิบัติธรรมแบบไทยๆ
เช่น สายพุทโธ สายนะมะพะทะ และสายวิชาธรรมกาย เป็นต้น ไปสมาทานการปฏิบัติธรรมแบบพม่ากันอย่างหน้าตาเฉย
พระพม่าจะเน้นเรื่องการเห็นกายในกายมากเป็นพิเศษ
แต่ผมยังไม่เห็นคำอธิบายที่เป็นรูปธรรมจากสาวกของพระพม่า รวมถึงตัวพระพม่าเองด้วย
คำอธิบายของพระพม่ามีแต่มั่วไป
มั่วมา ยกตนข่มท่านอย่างเดียว
ปฏิบัติธรรมกันที
7 วัน 15 วัน ปฏิบัติธรรมกันมาเป็นสิบๆ ปี ผมก็ยังไม่เห็นมีใครบรรลุมรรคผล ภายใน 7 ปี 7
เดือน 7 วัน ตามที่โฆษณาไว้เลย
อย่างนี้
สมควรต้องฟ้องสำนักงานคณะกรรมการผู้คุ้มครองผู้บริโภคว่า โฆษณาเกินจริง
พระพม่ามีคำอธิบายเกี่ยวกับสติปัฏฐาน
4 ไว้เพียงแค่กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ส่วนเวทนา จิต ธรรมนั้น อธิบายมั่วๆ มั่วมา ไม่รู้เรื่อง ทั้งคนเขียนและคนอ่าน
เฉพาะกายานุปัสสนาสติปัฏฐานก็อธิบายอย่างมั่วๆ
และไม่รู้เรื่องเช่นเดียวกัน
ผมขอยกสติปัฏฐานสูตรสั้นๆ
ดังนี้
๙. มหาสติปัฏฐานสูตร (22)
[273] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในกุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ ชื่อว่ากัมมาสทัมมะ ณ
ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า
พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก
เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ
เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง
เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ๔ ประการ เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะมีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่มีความเพียร
มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร
มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร
มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ ฯ
จบอุทเทสวารกถา
[274] อานาปานบรรพ เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[275] อิริยาปถบรรพ
เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[276] จบสัมปชัญญบรรพ
เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[277] ปฏิกูลมนสิการบรรพ
เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[278] ธาตุมนสิการบรรพ
เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[279] นวสีวถิกาบรรพ 1 เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[280] นวสีวถิกาบรรพ 2
เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[281] นวสีวถิกาบรรพ 3
เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[282] นวสีวถิกาบรรพ 4
เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[283] นวสีวถิกาบรรพ 5
เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[284] นวสีวถิกาบรรพ 6 เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[285] นวสีวถิกาบรรพ 7
เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[286] นวสีวถิกาบรรพ 8
เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
[287] นวสีวถิกาบรรพ 9
เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ภิกษุย่อม
พิจารณาเห็น กายในกายภายใน บ้าง
พิจารณาเห็น กายในกายภายนอก บ้าง
พิจารณาเห็น กายในกายทั้งภายในภายนอก บ้าง
พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง
พิจารณาเห็น ธรรม คือ
ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง
ย่อมอยู่อีกอย่างหนึ่ง
สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้วและไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก
ดูกรภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แลภิกษุชื่อว่า
พิจารณาเห็น กายในกายอยู่ฯ
จบนวสีวถิกาบรรพ
จบกายานุปัสสนา
|
ขอให้พิจารณาที่ผมทำตัวอักษรสีแดงไว้ให้มากๆ
หน่อย ขอยกมาอีกทีดังนี้
1)
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
2)
ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
3)
ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ข้อนี้แบ่งออกเป็น 2 ข้อย่อย คือ
3.1) ในกายของตัวเอง ก็ต้องเห็นกายในกาย
“ทั้งภายในภายนอก”
3.2) ในกายของคนอื่น ก็ต้องเห็นกายในกาย
“ทั้งภายในภายนอก”
ในทางภาษาศาสตร์แล้ว ควรแปลแบบนี้
1) ภิกษุย่อม ตามเห็น กายในกาย ณ ภายในบ้าง
2) ภิกษุย่อม ตามเห็น กายในกาย ณ ภายนอกบ้าง
3) ภิกษุย่อม ตามเห็น กายในกาย ณ ภายใน ณ ภายนอกบ้าง
ผมขอให้ผู้อ่านพิจารณาอย่างเป็นกลางว่า
มีคำสอนของพระพม่ากับสาวกของพระพม่าอธิบายไว้อย่างชัดเจน แบบไม่มั่วบ้าง
พระพม่าไม่ให้เห็นอะไรเลย
เห็นอะไรก็ผิดหมด แล้วจะมาเห็นกายในกายได้อย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น